หน้าเว็บ

อันตรายของแสงแดดต่อดวงตา

เป็นที่ทราบกันดีว่าแสงแดด ประกอบด้วยรังสีอัลตร้าไวโอเลต (ultraviolet) หรือที่เราเรียกสั้นๆว่า รังสียูวี (UV rays) ซึ่งเป็นคลื่นแสงที่มีความยาวคลื่นสั้นกว่าแสงที่มองเห็นด้วยตา กล่าวคือ แสงที่มองเห็นด้วยตามีความยาวคลื่น 400-700 นาโนเมตร รังสียูวีจึงมีความยาวคลื่นสั้นกว่า 400 นาโนเมตร มีพลังงานสูง และไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า แบ่งเป็น 3 ชนิด คือ
  1. รังสียูวี ซี (UV C rays,100-280 nm) เป็นรังสียูวีที่มีพลังงานสูงที่สุดและสามารถก่อให้เกิดอันตรายกับผิวหนังและดวงตาได้มากที่สุด โอโซนในชั้นบรรยากาศสามารถกรองไว้ได้หมด แต่ปัจจุบันชั้นโอโซนในบรรยากาศกำลังถูกทำลายมากขึ้น จึงทำให้รังสีชนิดนี้อาจทะลุผ่านลงมาสู่พื้นผิวโลกมากขึ้น และอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้
  2. รังสียูวี บี (UV B rays, 280-320 nm) เป็นรังสีที่มีพลังงานน้อยกว่ารังสียูวี ซี ถูกกรองโดยชั้นโอโซนได้บางส่วน รังสีบางส่วนที่ทะลุผ่านลงมายังโลก ในปริมาณน้อยจะกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานิน (melanin) ทำให้สีผิวคล้ำขึ้น ส่วนรังสีในปริมาณมากจะทำให้ผิวหนังไหม้ เกิดจุดด่างดำ รอยเหี่ยวย่น และเพิ่มโอกาสการเป็นมะเร็งผิวหนัง
  3. รังสียูวี เอ (UV A rays, 320-400 nm) เป็นรังสีที่มีพลังงานต่ำกว่า 2 ชนิดแรก แต่สามารถทะลุผ่านกระจกตา เข้าไปสู่เลนส์ตาและจอตาได้ การได้รับรังสีชนิดนี้เป็นปริมาณมากอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดต้อกระจกและบางการวิจัยพบว่าอาจมีผลต่อการเกิดจุดภาพชัดเสื่อมด้วยเช่นกัน
โดยปกติเราสามารถปกป้องผิวหนังจากแสงแดดด้วยการใช้ครีมกันแดด แต่ทราบหรือไม่ว่า แม้ดวงตาของเราจะคิดเป็นเพียง 2 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ผิวทั่วร่างกาย แสงแดดก็สามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อส่วนต่างๆของดวงตาได้มากมาย ดังนั้น เพื่อปกป้องดวงตาซึ่งเป็นอวัยวะที่บอบบางให้ปลอดภัยจากอันตรายภายนอกรวมทั้งแสงแดด ดวงตาของเราจึงถูกสร้างให้ถูกห่อหุ้มด้วยกระดูกเบ้าตา มีเปลือกตา ขนคิ้วและขนตาเป็นเกราะป้องกันอีกชั้นหนึ่ง นอกจากนี้การหดแคบลงของรูม่านตา การหลับตาหรือการหรี่ตา ก็เป็นอีกกลไกหนึ่งที่ช่วยปกป้องดวงตาตามธรรมชาติเมื่อถูกกระตุ้นด้วยแสงที่สามารถมองเห็นด้วยตา แต่จะไม่ถูกกระต้นด้วยรังสียูวี ดังนั้น แม้ในวันที่ไม่มีแสงแดดจ้า เราจะยังคงได้รับรังสียูวีในปริมาณมากอยู่ กล่าวคือ ประสิทธิภาพของกลไกป้องกันดวงตาตามธรรมชาติจึงอาจมีข้อจำกัด

แสงแดดเป็นอันตรายต่อดวงตาอย่างไร

เปลือกตา มีความเปลี่ยนของสีผิว จุดด่างดำ ริ้วรอยรอบดวงตา นอกจากนี้ยังมีรายงานพบว่ามะเร็งที่เกิดขึ้นบริเวณเปลือกตาบางขนิด เช่น basal cell carcinoma squamous cell carcinoma ตลอดจน malignant carcinoma อาจเกี่ยวเนื่องมาจากการได้รับแสงแดดอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน
เยื่อบุตา มีการเสื่อมของเยื่อบุตาบริเวณที่ชิดกับขอบตาดำ เรียกว่า ต้อลม ซึ่งเกิดจากการระคายเคืองจากลม ฝุ่น รังสียูวี หากต้อลมลุกลามเข้าไปในตาดำ เรียกว่า ต้อเนื้อ ไม่เพียงทำให้เกิดความไม่สวยงาม แต่อาจรบกวนการมองเห็น หรือหากมีการอักเสบ จะทำให้มีอาการปวดและระคายเคืองได้
กระจกตา การอักเสบเฉียบพลันของกระจกตา ทำให้มีอาการปวดตามากน้ำตาไหล มักจะเกิดอาการประมาณ 2-3 ชั่วโมง หลังจากได้รับรังสียูวีปริมาณมาก เช่น แสงสะท้อนจากหิมะ หรือรังสียูวีจากการเชื่อมโลหะโดยไม่สวมใส่แว่นป้องกัน อาการมักจะเป็นอยู่ชั่วคราวประมาณ 1-2 วัน
เลนส์ตา การเกิดต้อกระจก แม้ว่าต้อกระจกจะเกิดจากการเสื่อมตามวัย แต่พบว่าการได้รับรังสียูวีทำให้เป็นต้อกระจกมากขึ้นได้ ในแต่ละปี มีประชากรกว่า 16 ล้านคนทั่วโลกตาบอดจากต้อกระจก จากรายงานขององค์การอนามัยโลกพบว่าประมาณ 20 เปอร์เซนต์ของต้อกระจกอาจมีสาเหตุมาจากการได้รับรังสียูวีมากเกินไป ซึ่งเป็นสาเหตุที่หลีกเลี่ยงได้
จอตา ในคนหนุ่มสาวเลนส์ตาที่ยังใสอยู่ไม่สามารถดูดซับรังสียูวีไว้ได้หมด จึงมีโอกาสที่รังสียูวีจะเข้าไปทำลายจอตาทำให้เกิดจอตาเสื่อมได้ แม้ว่าในจอตาของเราจะมีสารหรือเม็ดสีตามธรรมชาติที่ช่วยปกป้องจอตา แต่สารเหล่านี้จะลดลงเมื่ออายุมากขึ้น ทำให้กระบวนการป้องกันจอตาตามธรรมชาติลดลงและเกิดการเสื่อมของจอตาได้ง่ายขึ้น เมื่อได้รับรังสียูวี นอกจากนี้บางการศึกษาเชื่อว่ารังสียูวีน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับภาวะจุดรับภาพเสื่อมในผู้สูงอายุ (age-related macular degeneration, AMD)

แสงสีฟ้า คืออะไร

ในปัจจุบันมีการตื่นตัวเกี่ยวกับแสงสีฟ้ากันอย่างกว้างขวางขึ้น จริงๆแล้วแสงสีฟ้า (blue light or high-energy visible radiation) เป็นแสงที่มองเห็นด้วยตา มีช่วงความยาวคลื่นระหว่าง 381-500 นาโนเมตร ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงคลื่นรังสียูวี แสงสีฟ้าปริมาณสูงสามารถทำลายเซลล์อย่างถาวรในบางคน และหากได้รับแสงสีฟ้าเป็นเวลานานอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดจุดภาพชัดเสื่อม ซึ่งเป็นจุดสำคัญในจอตา โดยเซลล์จะถูกทำลายอย่างช้าๆและทำให้สูญเสียการมองเห็นส่วนกลางอย่างถาวรในที่สุด การศึกษา European study ตีพิมพ์ในวารสาร Archives of Ophthalmology ฉบับเดือนตุลาคม 2008 พบว่ากลุ่มคนที่มีระดับวิตามินซีและสาร antioxidant อื่นๆในเลือดต่ำ อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดจอตาหรือจุดภาพชัดเสื่อมจากแสงสีฟ้า
ในชีวิตประจำวันเราได้รับแสงสีฟ้าอยู่ตลอดเวลา ทั้งจากคอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ และหน้าจอโทรศัพท์มือถือ หรือจากอุปกรณ์บางอย่าง เช่น เลเซอร์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์บางชนิด อย่างไรก็ตามเราสามารถป้องกันแสงสีฟ้า โดยการใช้เลนส์ “Blue blocker” ซึ่งมักจะเป็นเลนส์สีเหลือง หรือสีส้ม ซึ่งโดยทั่วไปเลนส์ชนิดนี้ไม่ได้ลดปริมาณแสงสีฟ้าที่จะผ่านเข้าสู่ดวงตา แต่จะช่วยเปลี่ยนแปลงการปรากฎของแสงสีฟ้าและสีเขียว เนื่องจากแสงสีฟ้าอยู่ในช่วงคลื่นที่ใกล้เคียงกับรังสียูวีมาก การใช้เลนส์ “Blue blocker” จะสามารถช่วยป้องกันรังสียูวีได้ด้วย
ที่มา : http://www.bangkokhealth.com/health/article/อันตรายของแสงแดดต่อดวงตา-2370



  1. สามารถป้องกันทั้งรังสียูวีเอและบีได้ 99-100 เปอร์เซนต์ โดยต้องมีป้ายระบุชัดเจน ทั้งนี้ประสิทธิภาพการป้องกันรังสียูวีไม่ได้ขึ้นอยู่กับสีหรือระดับความเข้มของเลนส์
  2. เลนส์ควรมีขนาดใหญ่และกว้างสามารถปิดบังดวงตาจากแสงแดดได้ทุกองศา
  3. นอกจากจะป้องกันรังสียูวีแล้ว แว่นกันแดดที่ดี ควรมีคุณสมบัติอื่นๆร่วมด้วย ได้แก่
    • Blue-blocking lenses ช่วยให้เห็นวัตถุไกลๆได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในหิมะหรืออากาศขุ่นมัว เลนส์ที่สามารถป้องกันแสงสีฟ้าได้ทั้งหมด คือ สีเหลืองอำพัน แต่อย่างไรก็ตาม แนะนำให้ใช้เลนส์สีเทาในการขับรถเพื่อให้เห็นแสงสีสัญญาณไฟจราจรได้อย่างถูกต้อง
    • Polarized lenses ช่วยตัดแสง ลดการเกิดแสงแตกกระจาย เช่น แสงแดดสะท้อนจากหิมะหรือผิวน้ำ
    • Photochromic lenses สามารถปรับความเข้มของสีเลนส์ได้ตามปริมาณแสงที่เปลี่ยนแปลง
    • Polycarbonate lenses ช่วยป้องกันการกระแทกหรืออุบัติเหตุที่ดวงตา
    • Mirror-coated lenses ช่วยลดแสงที่มองเห็นด้วยตา
    • Gradient lenses มี 2 ชนิด คือ single-gradient lenses ซึ่งมีสีเข้มด้านบน สีอ่อนด้านล่าง ช่วยลดแสง

บทความสุขภาพตา โดย พญ.วีรยา พิมลรัฐ

ที่มา : http://www.bangkokhealth.com/health/article/อันตรายของแสงแดดต่อดวงตา-2370

วิธีเลือกเลนส์แว่นกันแดด






นอกจากจะเป็นเครื่องประดับแฟชั่นที่ยอดฮิตแล้วยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพด้วยคือ ช่วยในการป้องกันสารพัดสิ่ง ทั้งกันแดด กันฝุ่น กันลม หรือกระทั่งเชื้อโรคที่มากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง งั้นเราต้องมาถามกูรูแว่นดำซะแล้ว ว่าแว่นกันแดดนั้นมีสารพัดอย่างไรบ้าง


    

 เลนส์ที่นิยมใช้ในปัจจุบันมี 3 ชนิด คือ 

  • เลนส์พลาสติก (CR 39 Plastic) ทำจากวัสดุ CR-39 เป็นเลนส์พลาสติกที่ใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุด เนื่องจากทนแรงขูดขีดได้ดีทั้งยังช่วยกรองรังสียูวีและอินฟราเรดได้ดีอีกด้วย อาทิ Ray Ban Wayfarer Jackie OHH  คุณปรารถนา พีรานนท์ ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ แว่นกันแดดบริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จำกัดกล่าว

  • เลนส์แก้ว (Glass) จะมีความใสมากกว่าเลนส์พลาสติก และทนแรงขูดขีดได้ดีกว่า แต่ก็จะมีน้ำหนักมากกว่าเลนส์พลาสติก รวมทั้งยังแตกได้ด้วย อาทิ Wayfarer  RB 3384 Aviator

  • เลนส์พลาสติกชนิดโพลีคาร์บอเนต (Poly-carbonate Plastic) จะมีน้ำหนักเบาที่สุด ทนทานต่อแรงกระแทกได้ดีมาก จึงมักใช้ในการทำแว่นสำหรับกีฬาหรือกิจกรรมโลดโผน เพราะให้ความปลอดภัยจากอันตรายต่อดวงตาได้ดีที่สุด



  วัสดุที่ใช้ทำเลนส์ทั้ง 3 ชนิดนี้สามารถเลือกสวมใส่ในขณะที่ขับรถได้ทุกสภาพอากาศขึ้นอยู่กับความชอบ และสไตล์ของผู้สวมใส่และแบบที่นำเสนอตามแฟชั่น


       

       ประโยชน์ของสีเลนส์

 ส่วนความเข้มของสีเลนส์และประโยชน์ของการใช้งานนั้น ความเข้มแบบเต็มเลนส์ เป็นการย้อมสีในระดับที่มีความเข้มเท่ากันทั้งเลนส์ ซึ่งสามารถจะช่วยป้องกันแสงได้ในปริมาณที่เท่ากันทุกส่วนของเลนส์เหมาะกับการสวมใส่ในบริเวณที่มีแดดจ้า หรือกลางแจ้ง เช่น การขับรถกลางแจ้ง ท่องเที่ยวชายทะเล และกิจกรรมกลางแจ้ง
 
       
ความเข้มแบบไล่สี เป็นการย้อมสีแบบไล่ระดับจากความเข้มมากไปหาความเข้มน้อยจากบนลงล่างเหมาะกับการสวมใส่ในบริเวณที่มีแดดไม่จัดมากจนเกินไป หรือช่วงที่มีเมฆครึ้มปกคลุมเพื่อลดการสะท้อนของแสงและรังสี UV อาทิการขับในเวลากลางคืน หรือระหว่างฝนตก การแข่งกีฬาในร่ม และการสวมเพื่อป้องกันสิ่งสกปรกเข้าสู่ดวงตา 
       
       เลนส์สีเทา : ช่วยกรองแสง ตัดแสงจ้าเมื่ออยู่กลางแจ้ง มีข้อดีคือไม่ทำให้สีของวัตถุเปลี่ยนแปลง
 
       
เลนส์สีน้ำตาล : ทำให้มองสีและแสงธรรมชาติได้ชัดเจนขึ้น คมชัดขึ้น เพิ่มวิสัยทัศน์ในการมอง โดยเฉพาะในการขับขี่รถยนต์หรือจักรยานยนต์
 
       
เลนส์สีเขียว : กรองแสง ตัดแสงได้เท่ากับ Gray Lens ช่วยให้สบายตา โดยเฉพาะกิจกรรมกลางแจ้ง 
       
       เลนส์สีเหลือง : เพิ่มแสง เพิ่มวิสัยทัศน์ในการมองมากขึ้นในช่วงเวลาเย็น กลางคืน
       
       ->สีเลนส์แบบไหนเหมาะขับรถ

 ตามหลักมาตราฐานขององค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาได้กำหนดไว้ว่า แว่นกันแดดที่ได้มาตราฐานในการป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet) นั้นอย่างน้อยต้องสามารถป้องกัน 95% ของ UV-A และ 99% ของ UV-B ไม่ให้ผ่านเลนส์เข้าสู่ดวงตาได้
 
       
มีเคล็ดลับการเลือกแว่นกันแดดเพื่อสวมใส่ในการขับรถ และการดูแลรักษาแว่นกันแดด ซึ่งแว่นกันแดดที่ได้มาตรฐานนั้นจะต้องสามารถกรองรังสียูวีบี (UVB) ซึ่งเป็นรังสีที่อยู่ในย่านความถี่ 280-315 นาโนเมตรได้ และป้องกันปริมาณรังสียูวีเอ (UVA) ที่อยู่ในย่านความถี่ 100-280 นาโนเมตร ได้ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพอากาศที่มีแดดจ้า หรือมีเมฆหมอกปกคลุม
       
       ดังนั้นวิธีการเลือกสีเลนส์ให้เหมาะกับการขับรถ หากเป็นกิจกรรมการขับรถกลางแจ้ง ควรเลือกเลนส์สีเขียวและสีเทาเพราะจะช่วยในการมองเห็นที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด นอกเหนือจากการลดความจ้าของแสงในขณะขับรถ 

       
       ส่วนกิจกรรมขับรถในตอนแสงน้อย หรือตอนกลางคืน ควรเลือกเลนส์ สีฟ้าใส สีใส และสีเหลือง จะช่วยป้องกันแสงสะท้อนจากไฟส่องถนน โดยเฉพาะการขับรถในเวลาอากาศมัวท้องฟ้ามืดครึ้มเลนส์ที่เหมาะสมที่สุดคือเลนส์สีเหลืองเพราะจะช่วยลดความสว่างของแสงมากที่สุด ทำให้ทัศนวิสัยในการขับรถดีขึ้นสามารถมองเห็นได้ในระยะไกล 


ที่มา : http://www2.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9550000042390

แว่นกันแดดกับยูวี

 ปัจจุบัน แว่นกันแดดมีความจำเป็นอย่างมาก เพราะใส่แล้วสบายตาพร้อมทั้งช่วยเสริมบุคลิกภาพ เหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ แว่นกันแดดสามารถรักษาสุขภาพตาได้ในระยะยาว
     จากการวิจัย พบว่าการโดนแสงแดดจัดนานๆ ในระยะยาวมีโอกาสเกิดโรคตาตามมา เช่น ต้อลมและต้อเนื้อ ต้อกระจก ตลอดจนโรคจอประสาทตาเสื่อม เนื่องมาจากผลของรังสีอุตร้าไวโอเล็ต (UV) ในแสงแดด
      มีหลักฐานพิสูจน์อย่างแน่ชัด คือในปี ค.ศ. 1988 จักษุแพทย์กลุ่มหนึ่งได้ทำการศึกษาวิจัยชาวประมง 838 คน ขณะออกทะเลเพื่อประกอบอาชีพ พบว่ากลุ่มที่มิได้ป้องกันแสงแดด จะเป็นต้อกระจกมากเป็นสามเท่าของชาวประมงที่สวมแว่นกันแดด หรือสวมหมวกปีกกว้าง จักษุแพทย์ ในปัจจุบันจึงแนะนำให้สวมแว่นกันแดดทุกครั้ง หากต้องออกกลางแดดเป็นเวลานานๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศเราอยู่ในแนวใกล้เส้นศูนย์สูตร ซึ่งมีแดดจัดกว่าส่วนอื่นของโลก



  • เลนส์ที่สามารถกรองรังสีได้



     เป็นคุณสมบัติอย่างแรกที่ต้องพิจารณาเลือกซื้อแว่นกันแดด แม้ว่าเลนส์ธรรมดาทั้งพลาสติกและแก้วจะสามารถกรองรังสี UV ได้บางส่วนแล้วก็ตาม แต่คุณสมบัติดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเมื่อมีการเติมสารเคมีที่มีคุณสมบัติดูดซับรังสีไว้ในเนื้อเลนส์ขณะผลิตหรือฉาบไว้ที่ผิวเลนส์ภายหลัง เลนส์ของบางบริษัทอาจระบุไว้ว่า สามารถกรองรังสี UV ได้ถึงขนาดความยาวคลื่น 400 นาโนเมตร หมายถึง สามารถกรองรังสีได้ 100% นั่นเอง








  • เลนส์โพลาไรซ์ (POLARIZED LENS)



     มีคุณสมบัติสามารถตัดแสงสะท้อนจากผิวน้ำหรือถนนได้ ทำให้สบายตามากขึ้นเมื่อใช้ขณะเล่นกีฬาทางน้ำหรือขับรถ แต่ไม่มีคุณสมบัติในการกรองรังสี UV อย่างไรก็ตามปัจจุบันมีเลนส์โพลาไรซ์หลายยี่ห้อที่ฉาบสารเคมีเพื่อดูดซับรังสี UV ไว้ด้วย ดังนั้นควรตรวจสอบให้แน่ชัดว่า เลนส์ที่เลือกซื้อนั้นมีคุณสมบัติดังกล่าวด้วยหรือไม่

  • เลนส์เปลี่ยนสี (PHOTOCHROMIC GLASSES)



     มีคุณสมบัติเปลี่ยนสีได้โดยอัติโนมัติตามระดับความเข้มของรังสี UV คือ เปลี่ยนเป็นสีชาเมื่ออยู่ในที่สว่าง และใสขึ้นเมื่ออยู่ในที่แสงน้อย การเปลี่ยนสีเข้มจะเกิดขึ้นเต็มที่โดยใช้เวลาประมาณครึ่งนาที ในขณะที่กว่าจะกลับใสเป็นปกติจะต้องใช้เวลาถึง 5 นาที แม้ว่าแว่นชนิดนี้จะกรองรังสี UV ได้ดี แต่ปัญหาจากการใช้เวลานานเกินไปในการปรับสีเมื่อเข้าในที่สลัว และสีของเลนส์ก็ไม่ถึงกับใสเลยทีเดียว ดังนั้นจึงไม่เป็นที่แพร่หลาย


คุณสมบัติที่ดีของแว่นกันแดด
  


มีความทึบเข้มของเลนส์ 


     เลนส์บางชนิดย้อมสีเข้มมาก แสงผ่านได้เพียง 2-3ในขณะที่เลนส์บางชนิดให้แสงผ่านได้ถึง 50%ฉะนั้นการเลือกซื้อ จึงจำเป็นต้องให้เหมาะสมกับการใช้งาน เลนส์ที่ย้อมสีปานกลางจะเหมาะกับการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน แต่ถ้าหากมีความจำเป็นต้องอยู่กลางแสงแดดจัดบ่อยๆ ก็ควรเลือกเลนส์ที่เข้มและกรองแสงได้มากแต่ต้องระลึกเสมอว่า ชนิดและความเข้มของสีที่ใช้ย้อมเลนส์ไม่ได้มีผลในการป้องกันรังสี UVเลย เพียงแต่ลดความสว่างจ้า ทำให้สบายตาขึ้นเท่านั้น

  


คุณภาพของการฝนเลนส์ 


     นอกจากคุณสมบัติที่ต้องป้องกันรังสีได้แล้ว การเลือกเลนส์ที่ผ่านการขัดฝนมาอย่างดี เป็นคุณสมบัติที่ควรคำนึงถึงอย่างยิ่ง ทดสอบได้โดยให้ถือแว่นห่างจากตัวระยะความยาวแขน หลับตาข้างหนึ่ง แล้วใช้ตาอีกข้างมองผ่านเลนส์ ดูอะไรที่เป็นเส้นตรงด้านหน้า เช่น ขอบโต๊ะ ขอบประตู เสา หรือมุมผนังห้อง แล้วค่อยๆ หมุนแว่นช้าๆ ตามเข็มหรือทวนเข็มนาฬิกา หรือขยับซ้าย-ขวา บน-ล่าง ก็ได้ หากเส้นตรงที่บิดคดเคี้ยวไป โดยเฉพาะตรงกลางเลนส์เลนส์คู่นั้นเป็นเลนส์คุณภาพต่ำ ไม่ควรนำมาใช้งาน

  


ความทนต่อแรงกระแทก


     เลนส์แว่นกันแดดทุกชนิด ควรต้องมีความแข็งแรงกระแทกตามมาตรฐาน แว่นกันแดดส่วนใหญ่จะเป็นเลนส์พลาสติก ซึ่งแตกร้าวได้ยาก แว่นกันแดดสำหรับนักกีฬาจะเป็นพลาสติกโพลีคาร์บอเนต ซึ่งมีคุณสมบัติแข็งแรง และเหนียว แต่เกิดรอยขีดข่วนได้ง่าย ดังนั้น หากจะซื้อแว่นประเภทนี้ควรเลือกที่มีสารฉาบผิวป้องกันรอยขีดข่วนด้วย






มาป้องกันนัยน์ตาจากรัสีอุลตร้าไวโอเล็ต (UV) กันดีกว่า


     แว่นกันแดดที่ดีที่สุด ต้องสามารถกรองรังสี UV ได้หมด 100ให้การมองเห็นที่ชัดเจน ภาพไม่บิดเบี้ยว แข็งแรง และไม่จำเป็นต้องมีราคาแพง การสวมแว่นกันแดดทุกครั้งที่ออกกลางแจ้งจะให้ความสบายตาและป้องกันอันตรายจากรังสี UV ในระยะยาวได้
     แม้ว่าแว่นกันแดดจะมีคุณภาพดังที่กล่าวมาแล้ว แต่ถ้าแสงมีความจ้าสว่างกว่าปกติมาก เช่น แสงจากการเชื่อมโลหะด้วยไฟฟ้า อาจทำให้มีอาการปวด เคืองตาอย่างรุนแรงเนื่องจากกระจกตาอักเสบจากรังสี ตาอาจบอดเนื่องจากประสาทตาเสื่อมได้ ต้องอาศัยเลนส์กรองแสงชนิดพิเศษจริงๆ เท่านั้นจึงจะปลอดภัย


แว่นกันแดดช่วยลดความรุนแรงของโรคได้จริงหรือ ?
     โรคที่รังสี UV มีส่วนทำให้อาการรุนแรงขึ้น ได้แก่ โรคจอประสาท ตาเสื่อม ต้อเนื้อและต้อลม ควรสวมแว่นกันแดดทุกครั้งที่ออกกลางแจ้ง
     ผู้ป่วยที่รับประทานยาบางประเภทที่ไวต่อรังสี (PHOTO-SENSITIZING) จะทำให้ดวงตามีความไวต่ออันตรายจากรังสี UVมากกว่าปกติ ตัวอย่างเช่น เทตตร้าไซคลิน (TETRACYCLINE) ด๊อกซีไซคลิน (DOXYCYCLINE) ฉะนั้นควรสวมแว่นกันแดด หรือสวมหมวกทุกครั้งที่ออกกลางแจ้ง ขณะที่ยังรับประทานยาเหล่านั้นอยู่